สิว ( Acne ) คือ การอักเสบของรูขุมขนและต่อมไขมัน โดยมากมักเป็นบริเวณใบหน้า คอ และ ลำตัวส่วนบน ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีต่อมไขมันขนาดใหญ่อยู่หนาแน่น สิวมักเริ่มเกิดในวัยรุ่น โดยเพศหญิงมักมีสิวขึ้นเร็วกว่าเพศชาย อย่างไรก็ตามบางคนอาจเริ่มเป็นสิวตอนเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ได้ ผู้ป่วยสิวส่วนใหญ่มักมีสภาพผิวมัน
ลักษณะของสิว
-
ชนิดไม่อักเสบ คือ สิวที่เกิดจากการอุดตันของรูขุมขน เรียกว่า Comedone มี 2 ชนิด
- Closed comedone เป็นตุ่มกลมเล็กแข็งสีขาว จะเห็นชัดขึ้นเมื่อดึงผิวหนังให้ตึงหรือโดยการคลำ
- Open comedone เป็นตุ่มกลมเล็กแข็งคล้าย closed comedone แต่ตรงยอดมีรูเปิดและมีก้อนสีดำอุดอยู่
-
ชนิดอักเสบ ได้แก่
- Papule ตุ่มสีแดงขนาดเล็ก
- Pustule มีลักษณะเป็นตุ่มมีหนอง หรือที่เรียกว่า สิวหัวหนอง
- Nodule ก้อนสีแดงภายในมีหนองปนเลือด บางครั้งอาจะเป็นหลายหัวติดกัน
- Cyst ก้อนนูนแดง นิ่ม ภายในมีหนองปนเลือด
ระดับความรุนแรงของสิว
- สิวเล็กน้อย (Mild acne) มีหัวสิวไม่อักเสบ (Comedone) เป็นส่วนใหญ่ หรือ มีสิวอักเสบ (Papule และ pustule) ไม่เกิน 10 จุด
- สิวปานกลาง (Moderate acne) มี papule และ pustule ขนาดเล็กจำนวนมากกว่า 10 จุด และ/หรือ มี nodule น้อยกว่า 5 จุด
- สิวรุนแรง (Severe acne) มี papule และ pustule มากมาย มี nodule หรือ cyst เป็นจำนวนมาก หรือ มี nodule อักเสบอยู่นานและกลับเป็นซ้ำหรือมีหนองไหล
แนวทางการรักษาสิว
จากแนวทางการรักษาสิว จะพบว่า Tropical Retinoid ถูกระบุเป็น 1st line treatment ในทุกระดับความรุนแรงของการรักษาสิว ดังนั้น ในบทความนี้จะขอกล่าวถึง Topical Retinoid เป็นหลัก
Topical Reinoid
การออกฤทธิ์
- กระตุ้นให้มีการสร้างเซลล์ผิวเร็วขึ้น ผลัดเซลล์เก่าชั้นนอกออกไปทำให้หัวสิวหลุดง่ายขึ้น มีฤทธิ์ลดการอักเสบของสิว
- ช่วยลดริ้วรอย โดยกระตุ้นการสร้าง Collagen และ Elastin ในชั้นใต้ผิวหนัง
ข้อบ่งใช้
ใช้ได้ในสิวทั้งชนิดไม่อักเสบและสิวชนิดอักเสบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิวที่มีลักษณะอุดตัน ทั้งชนิดหัวปิดและหัวเปิด
ข้อบ่งใช้ที่นอกเหนือจากที่ระบุในฉลากยา (Off-label use)
ช่วยลดเลือนริ้วรอยและจุดด่างดำ โดยความเข้มข้นที่แนะนำ คือ 0.05% tretinoin โดยมีงานวิจัยรองรับ เช่น * มีการศึกษาวิจัย พบว่า Topical Retinoid สามารถช่วยเพิ่มการสร้าง Collagen ในชั้นใต้ผิวหนังในส่วที่เกิดริ้วรอยได้ * มีการศึกษาวิจัย พบว่า เมื่อใช้ 0.05% tretinoin ในผู้ที่มีจุดด่างดำ และริ้วรอย โดยใช้อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 2 ปี พบว่า จุดด่างดำ ริ้วรอยลดลง ตั้งแต่เดือนที่ 4 ของการใช้ และพบว่ามีความปลอดภัยในการใช้สูงเมื่อใช้ต่อเนื่องจนครบ 2 ปี
วิธีใช้
- ทาบางๆ วันละ 1-2 ครั้ง ตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร
- แนะนำให้ทาเวลาก่อนนอน เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดด
- ในระหว่างการใช้ยา อาจใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหนังได้ โดยแนะนำเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ไม่ก่อให้เกิดสิว ( Non-comedogenic )
- หลังใช้ยาประมาณ 7-14 วัน ตัวยาจะไปกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิว ผลัดเซลล์เก่า ทำให้ comedone ที่อยู่ใต้ผิวหนังถูกดันออกมาสู่ผิวหน้าได้ง่ายขึ้น จึงไม่ควรรีบหยุดใช้ยาหลังจากที่ comedone และสิวอุดตันถูกจัดการ การใช้ยาจะช่วยลดโอกาสที่ผิวจะอุดตันในอนาคตได้อีกด้วย
- หลังจากที่สิวหาย สามารถใช้ต่อเนื่อง เพื่อลดริ้วรอย ร่องลึก บริเวณใบหน้าได้
ข้อควรระวัง
- ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยานี้ในขณะตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
- หลีกเลี่ยงการถูกแสงแดด เนื่องจากยาทำให้ผิวไวต่อแสงแดดมากขึ้น อาจเกิดอาการผิวแห้ง แสบแดง ลอกได้
- เมื่อมีอาการระคายเคือง หรือ ผื่นแดงขึ้น ควรหยุดใช้ยา และไปพบแพทย์หรือ เภสัชกร เพื่อขอคำปรึกษา
บทสรุป
ยาทาสิวกลุ่มกรดวิตามินเอ เหมาะกับสิวทั้งชนิดไม่อักเสบและสิวชนิดอักเสบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิวที่มีลักษณะอุดตันทั้งชนิดหัวปิดและหัวเปิด นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยรองรับว่า ใช้เพื่อลดเลือนริ้วรอยและจุดด่างดำได้
บทความโดย : ภก. ณัฐพงษ์ สายแก้ว